- ผู้เขียน: ประจักษ์ ก้องกีรติ
- สำนักพิมพ์: ฟ้าเดียวกัน
- จำนวนหน้า: 300 หน้า ปกอ่อน
- พิมพ์ครั้งที่ 1 — ตุลาคม 2558
- ISBN: 9786167667362
การเมืองวัฒนธรรมไทย ว่าด้วยความทรงจำ วาทกรรม อำนาจ (ปกอ่อน)
หนังสือเล่มนี้รวบรวมงานเขียนของผู้เขียนในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมาเกี่ยวกับการเมืองวัฒนธรรม
ผู้อ่านหลายท่านคงสงสัยว่าแล้ว “การเมืองวัฒนธรรม” คืออะไร
ผู้เขียนรู้จักคำว่า “การเมืองวัฒนธรรม” ครั้งแรก จากการอ่านงานของอาจารย์เกษียร เตชะพีระ ตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนมัธยมและเริ่มสนใจเรื่องการบ้านการเมือง (ซึ่งในที่สุดก็ทำให้เส้นทางชีวิตหักเหจากนักเรียนสายวิทย์ฯ มาเรียนทางด้านรัฐศาสตร์ในเวลาต่อมา) เมื่อครั้งที่อ่านเจอศัพท์แสงนี้ครั้งแรก ก็ไม่สู้เข้าใจเท่าไรนักว่ามันหมายถึงอะไรกันแน่ เพราะสติปัญญาและความรับรู้ยังจำกัดมากในขณะนั้น เท่าที่เคยอ่านหนังสือมาบ้าง ก็รู้สึกคุ้นกับอีกคำหนึ่งมากกว่าคือ คำว่า “วัฒนธรรมการเมือง” สรุปคือ ครั้งแรกที่ได้เจอคำนี้ บังเกิดแต่ความงุนงงมากกว่าความเข้าใจ
ต่อมาเมื่อได้เข้าเรียนในคณะรัฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมีโอกาสเรียนกับอาจารย์เกษียรซึ่งเป็นผู้บุกเบิกการศึกษาการเมืองไทยในแนวการเมืองวัฒนธรรมโดยตรง ผู้เขียนจึงค่อยๆ เข้าใจคำๆ นี้มากขึ้น ว่ามันคือแนวทางการศึกษาวิเคราะห์เพื่อทำความเข้าใจโลกทางการเมืองและปรากฏการณ์ทางสังคมการเมืองที่น่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้อ่านงานของนักวิชาการทั้งไทยและเทศที่เกี่ยวข้องอย่างกว้างขวางและแตกแขนงออกไปมากขึ้น ก็ยิ่งพบเสน่ห์ของสิ่งที่เรียกว่า “การเมืองวัฒนธรรม” มันช่วยเปิดโลกให้เราเห็นแง่มุมใหม่ๆ ที่ไม่เคยมองเห็นมาก่อน เห็นการเมืองไทยเปลี่ยนไป–ลึกขึ้น ซับซ้อนขึ้น พลิกแพลงขึ้น-ช่วยปลดปล่อยเราออกไปจากกรอบการวิเคราะห์แบบเดิมๆ ที่มองการเมืองแบบหยุดนิ่งและคับแคบ
กรอบการวิเคราะห์ทางวิชาการ พูดให้เข้าใจง่ายที่สุด มันก็คือ เลนส์ที่เราใช้ในการมองโลก เราเปลี่ยนเลนส์ โลกที่มันเคยอยู่ของมันแต่เดิม ก็ถูกมองเห็นในแบบใหม่
แนวทางศึกษาเชิงการเมืองวัฒนธรรม หรือที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า cultural politics ให้ความสนใจพินิจพิเคราะห์การต่อสู้ทาง “การเมือง” ในฐานะที่เป็นพื้นที่ของการช่วงชิงการครองอำนาจนำ (hegemony) สนใจวิเคราะห์การเมืองของวัฒนธรรม ซึ่งเป็นระบบความหมายที่มนุษย์ใช้ในการมองโลกและกำกับพฤติกรรมของตนเอง ตั้งแต่เรื่องอาหารการกิน การแต่งกาย รสนิยมทางเพศ ศิลปะ การศึกษา ศาสนา ประวัติศาสตร์ ไปจนถึงระบบการเมืองการปกครอง พูดง่ายๆ ว่าการศึกษาในแนวนี้เชื่อว่าในการเมืองมีวัฒนธรรม และในวัฒนธรรมก็มีการเมืองซ่อนอยู่ในนั้น การเมืองไม่ได้สิงสถิตอยู่แค่ในรัฐสภา ในกองทัพ ในพรรคการเมือง ในรัฐธรรมนูญ แต่การเมืองสอดแทรกอยู่ในทุกอณูทางวัฒนธรรม ไม่ว่าจะในนิยาย ภาพยนตร์ ดนตรี ละครหลังข่าว ภาพเขียนศิลปะ แสตมป์ ปฏิทิน งานโฆษณา อาหาร สถาปัตยกรรม แบบเรียน อนุสาวรีย์ งานประติมากรรม ไปจนถึงพิธีกรรมต่างๆ ในพื้นที่หรือสิ่งประดิษฐ์ทางวัฒนธรรมเหล่านี้ซึ่งการศึกษาทางรัฐศาสตร์ในอดีตมักจะมองข้าม มองว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ไม่ใช่เรื่องการเมือง กลับถูกศึกษาเจาะลึกโดยนักวิชาการรุ่นใหม่ๆ อย่างพิสดาร เปิดโปงให้ผู้อ่านเห็นการเมืองของการสร้างอัตลักษณ์และความหมายให้กับสรรพสิ่งต่างๆ ในสังคมที่ห่อหุ้มเราอยู่ จนเราหูตาสว่างไปหมด ไม่ว่าจะในมิติของการเมืองของความรู้ ความจริง หรือตัวตนของเราเอง
การต่อสู้ในเชิงการเมืองวัฒนธรรมเป็นการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจนำในการกำหนดหรือสร้างคำนิยาม/ความหมายชุดใหม่ให้กับสิ่งที่เรียกร้องต่อสู้ มันอาจจะไม่ถูกมองเห็นอย่างชัดเจนโดยง่าย ถ้าไม่เพ่งมอง เพราะมันไม่ได้อยู่ในอาคารรัฐสภาหรือห้องประชุมคณะรัฐมนตรี การเมืองแบบนี้เป็นการเมืองที่มีความลื่นไหลเปลี่ยนแปลง ไม่หยุดนิ่งตายตัว เพราะเล็งเห็นว่าองค์ประกอบต่างๆ ในสังคม ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ค่านิยม จารีตประเพณี สถาบันต่างๆ รวมทั้งตัวสังคมเองไม่ได้มีความหมายหรือสารัตถะที่แน่นอนเป็นแก่นแท้ตายตัว หากมีคุณลักษณะที่เปิดกว้างให้กลุ่มฝ่ายต่างๆ เข้ามาต่อสู้ช่วงชิงนิยามให้ความหมายแปรเปลี่ยนมันไปตามวาทกรรม เช่น ความหมายต่อคำว่า “ประชาธิปไตย” หรือ “เดโมเครซี” ที่ฝ่ายต่างๆ แย่งชิงกันกำหนดมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 จวบจนกระทั่งปัจจุบัน ถามว่าต่อสู้ช่วงชิงความหมายกันทำไม ตอบว่าก็เพื่อที่จะดำรงไว้ซึ่งผลประโยชน์และอำนาจของกลุ่มตน นิยามประชาธิปไตยแบบหนึ่งก็ให้อำนาจกับคนกลุ่มหนึ่ง ดังที่ชนชั้นสยามตั้งแต่โบราณชี้ชวนให้คนไทยเชื่อว่าประชาธิปไตยคือสิ่งแปลกปลอม เป็นของตะวันตก ไม่เหมาะกับสังคมไทย เพราะคนไทยให้ความสำคัญกับเสถียรภาพและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมืองมากกว่าเสรีภาพ คนไทยนิยมเชื่อฟังอำนาจและไม่ชอบความขัดแย้ง ถ้าจะมีประชาธิปไตยก็ต้องมีประชาธิปไตย “แบบไทยๆ” ในแบบฉบับของเราเองที่ไม่ซ้ำใคร คือมอบอำนาจเด็ดขาดให้กับผู้นำซึ่งเปรียบเสมือนพ่อขุนในสมัยโบราณที่ใช้อำนาจเด็ดขาดเพื่อประโยชน์สุขของราษฎรและความสงบของบ้านเมือง ดังที่รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ได้ประดิษฐ์คำๆ นี้ขึ้นเพื่อให้ความชอบธรรมกับการปกครองแบบเผด็จการทหารของตน และเมื่อยึดกุมความคิดและจินตนาการของคนได้ จอมพลสฤษดิ์ก็ปกครองได้อย่างสะดวกราบรื่น
อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ทางการเมืองในความหมายแบบการเมืองวัฒนธรรมเป็นการเมืองที่มีพลวัตรแปรเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ไม่มีใครชนะหรือแพ้ทั้งหมดในการต่อสู้ทางการเมืองเช่นนี้ เพราะการครองอำนาจนำไม่เคยเป็นไปอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดตายตัว หากมีพลวัตเลื่อนไหลเปลี่ยนแปลงได้เสมอ การเมืองวัฒนธรรมจึงเป็นแนวคิดในการศึกษาการเมืองที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับแนวการศึกษาแบบวัฒนธรรมการเมือง (political culture) ที่ครอบงำการศึกษารัฐศาสตร์กระแสหลัก โดยเฉพาะในสังคมไทย ซึ่งมองวัฒนธรรมแบบหยุดนิ่งไม่มีพลวัต โดยนิยามว่า วัฒนธรรมการเมือง คือ แบบแผนของความรับรู้ อารมณ์ความรู้สึก ความเชื่อ และชุดคุณค่าที่บุคคลในสังคมมีต่อระบบการเมืองและสถาบันการเมือง ซึ่งจะเป็นตัวกำหนด “หน้าตา” ของการเมืองในสังคมนั้นให้ออกมาในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง เช่น มีความเชื่อว่าประเทศใดจะมีประชาธิปไตยที่มั่นคงได้ ก็ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมในสังคมนั้นเป็นตัวกำหนด กระทั่งนำมาสู่คำอธิบายประหลาดๆ ว่า ประเทศในเอเชีย ละตินอเมริกา และแอฟริกาจำนวนมากไม่ประสบความสำเร็จในการสร้างประชาธิปไตย เพราะคนในชาตินั้นมีวัฒนธรรมประจำชาติที่ไม่เหมาะสมกับประชาธิปไตย เช่น ขี้เกียจเฉื่อยชา ยึดถือเรื่องบุญคุณ งมงาย ไม่นิยมความขัดแย้ง เชื่อฟังต่ออำนาจ ขาดระเบียบวินัย ฯลฯ การมองวัฒนธรรมในลักษณะที่ค่อนข้างเป็นแบบแผนอันหยุดนิ่งนี้ ทำให้การศึกษาเชิงวัฒนธรรมการเมืองมีแนวโน้มมองการเมืองแบบหยุดนิ่งตามไปด้วย
คำถามที่คนศึกษาวัฒนธรรมการเมืองมักจะลืมถามหรือไม่เคยถามเลย คือ สิ่งที่เรียกว่าวัฒนธรรมประจำชาตินั้น ใครเป็นคนกำหนด ใครเป็นคนนิยาม และใครได้ประโยชน์จากการนิยาม ถ้าเริ่มถามแบบนี้เมื่อใด เราก็จะเห็นการเมืองที่ซับซ้อนมากขึ้น ที่ผ่านมาใครมีอำนาจนิยามความเป็นไทย ใครเขียนประวัติศาสตร์ ใครสร้างอนุสาวรีย์ ใครแต่งแบบเรียน ใครมีอำนาจชี้นำว่าวัฒนธรรมที่ดี/หนังสือที่ดี/ประเพณีควรมีรูปโฉมอย่างไร ใครเป็นผู้กำหนดว่าค่านิยมที่ดีของคนไทยควรประกอบด้วยอะไรบ้าง และการกล่อมเกลาให้คนไทยซึมซับรับค่านิยมดังกล่าวนำไปสู่ผลลัพธ์อย่างไร จะเห็นว่ายิ่งถามก็ยิ่งชวนให้เราเห็นว่าสิ่งที่เรียกว่าวัฒนธรรมนั้นไม่เคยปลอดจากอำนาจเลย
ในงานชิ้นต่างๆ ที่รวมอยู่ในหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนได้ปรับประยุกต์ใช้แนวการศึกษาเชิงการเมืองวัฒนธรรมไปวิเคราะห์พื้นที่และสิ่งประดิษฐ์ทางวัฒนธรรมในรูปแบบที่หลากหลาย อาทิ นวนิยาย อัตชีวประวัติของนักโทษการเมือง จดหมาย (พระราชหัตถเลขาสละราชสมบัติของรัชกาลที่ 7) เอกสารของพรรคคอมมิวนิสต์และฝ่ายซ้ายในไทยและอินโดนีเซีย สิ่งพิมพ์ของนักศึกษา หนังสือรับน้องใหม่ หน้าปกหนังสือและนิตยสาร โปสเตอร์ ป้ายประท้วง ภาพถ่าย บทกวีคำกลอน รวมถึงเพลงและคำขวัญปลุกใจในการชุมนุม ทั้งนี้ บางชิ้นเคยตีพิมพ์มาก่อนในหนังสือและวารสารทางวิชาการ บางชิ้นยังไม่เคยเผยแพร่ในโลกภาษาไทย (บทความแปลเรื่องการเมืองวัฒนธรรมในการต่อสู้ของนักศึกษาไทย) ส่วนบางชิ้นก็นำมาปรับปรุงเขียนขึ้นใหม่เกือบทั้งหมด (40 ปีราชาชาตินิยม)
ดังที่มีคำกล่าวว่า หนังสือทุกเล่มเกิดขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงและสติปัญญาของบุคคลจำนวนมากที่นอกเหนือจากผู้เขียนเสมอ สำหรับการจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนอยากจะขอบคุณครูของผู้เขียน อาจารย์เกษียร เตชะพีระ ที่ถ่ายทอดความรู้และทำให้ผู้เขียนหลงใหลในการเมืองวัฒนธรรม อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ อาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และอาจารย์ธงชัย วินิจจะกูล ที่ทำให้การศึกษาประวัติศาสตร์กลายเป็นกิจกรรมที่กระตุ้นต่อมสมองสนุกตื่นเต้น (กระทั่งหวาดเสียวในบางที) อันมีผลสร้างแรงบันดาลใจมหาศาลให้กับผู้เดินทางมาทีหลังอย่างผู้เขียน ขอบคุณ “สิงห์สนามหลวง” หรือคุณอาสุชาติ สวัสดิ์ศรีที่ทำให้ความรู้ ถ่ายทอดความจำ และแบ่งปันเอกสารล้ำค่าในทางประวัติศาสตร์หลายชิ้น และขอขอบคุณอาจารย์ณัฐพล ใจจริง หนอนหนังสือประวัติศาสตร์การเมืองผู้คร่ำหวอดในการเก็บรักษาและศึกษาหนังสือเก่า ที่ช่วยให้ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าถึงหนังสือหายากจำนวนมากมาย นอกจากนั้น ขอขอบคุณเพื่อนพ้องในวงวิชาการและลูกศิษย์หลายท่านที่คอยสนับสนุนในด้านต่างๆ ตลอดมา ตั้งแต่สมัยผู้เขียนเริ่มสอนหนังสือที่ช่วยตั้งคำถามและกระตุ้นให้ผู้เขียนขบคิดเกี่ยวกับเรื่องประวัติศาสตร์และการเมืองวัฒนธรรมของไทยอย่างจริงจัง ขอขอบคุณหอจดหมายเหตุมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ห้องหนังสือหายาก หอสมุดปรีดี พนมยงค์ ห้องหนังสือหายาก หอสมุดวิทยบริการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และหอประวัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยที่อำนวยความสะดวกในการใช้บริการหนังสือเก่าทั้งหลาย สุดท้ายขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกันและทีมงานที่ให้ความสนใจในผลงานของผู้เขียนเสมอมา ที่ช่วยรวบรวมบทความ จัดทำบรรณานุกรมและดัชนี หารูปประกอบ และจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ออกมาอย่างประณีตสวยงาม เฉกเช่นเดียวกับหนังสือรวมบทความเล่มก่อนหน้านี้เรื่อง ประชาธิปไตยในยุคเปลี่ยนผ่าน
ในวันที่การเมืองไทยยังอยู่ในยุคสมัยแห่งความสับสนที่เปลี่ยน (ไม่) ผ่าน ผู้เขียนได้แต่หวังว่างานเขียนแต่ละชิ้นจะช่วยเปิดมุมมองใหม่ๆ ในการทำความเข้าใจประวัติศาสตร์การเมืองไทยจากมุมมองของการเมืองวัฒนธรรม และในทางกลับกันก็มองเห็นการต่อสู้ในเชิงการเมืองวัฒนธรรมในบริบททางประวัติศาสตร์ ดังที่หนังสือนี้ตั้งชื่อไว้ มากไปกว่านั้น ผู้เขียนยังหวังใจลึกๆ ว่าหนังสือเล่มนี้จะช่วยส่องสะท้อนย้อนไปในประวัติศาสตร์ ลึกลงไปในระดับวัฒนธรรม และอธิบายให้ผู้อ่านเข้าใจว่าสังคมไทยเดินทางมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
ประจักษ์ ก้องกีรติ
ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
กันยายน 2558